ข้อควรรู้ การร้อยไหม มีกี่แบบ

เลเซอร์และความงาม » ใบหน้า

วิวัฒนาการของการร้อยไหมไม่ใช่ของใหม่ หรือพึ่งมี แต่มีมายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว เกิดจากแนวคิดที่ว่าทำอย่างไร จึงจะสามารถดึงหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด จึงได้มีแนวคิด วิธีการใช้ไหมมาช่วยยกกระชับหน้าดึงหน้า ในช่วงแรกๆ จะเห็นได้ว่าการร้อยไหม จะมีลักษณะเหมือนฟันปลา หรือก้างปลา ( Aptos) เพราะเชื่อว่าจะสามารถเกาะเกี่ยวเนื้อเยื่อผิวหนังได้ดี  ในยุคนั้นเป็นการคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยศัลยแพทย์ชาวรัสเซีย วิธีนี้เหมาะสำหรับการดึงผิวหน้าเฉพาะส่วน เช่น หางคิ้ว ร่องแก้ม เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาทั้งเทคนิควิธีการร้อยไหม และชนิดของไหม ที่นำมาใช้ เพื่อที่ให้เหมาะกับสภาพปัญหาผิวของแต่ละคน ผลลัพธ์ และวิธีการต่างๆ ในการร้อยไหม มีอะไรบ้าง ให้ผลลัพธ์ที่ดีชวนหลงไหลได้ปลื้มกับหน้าใหม่ได้อย่างไร

การร้อยไหมแบบถาวร

เป็นวิธีการร้อยไหมเพื่อยกกระชับหน้า ลดริ้วรอย ที่ให้ผลได้ชัดเจน การร้อยไหมชนิดนี้เหมาะกับคนที่มีริ้วรอย และการหย่อนคล้อยไม่มาก โดยทั่วไปก็จะเป็นช่วงอายุประมาณ 35 ปีขึ้น แต่หากผิวหน้ามีการหย่อนคล้อยมากๆ ซึ่งอาจเกิดจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว วิธีการใช้ไหม อาจช่วยไม่ได้มาก

การร้อยไหมแบบละลาย

เป็นกระแสความนิยมในปัจจุบันที่หันมาใช้ไหมละลายในการร้อยไหม ยกกระชับหน้ามากขึ้น เพราะไม่ตกค้างอยู่ในร่างกาย สลายไปได้เองตามธรรมชาติ นอกจากนั้น การร้อยไหมแบบละลายก็ยังแบ่งได้ตามสภาพการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อผิว คือเป็นแบบผิวเรียบ กับผิวมี Texture เช่น เป็นแบบก้างปลา กรวย หรือเกรียว เพื่อช่วยให้การยึดเกาะกับเนื้อเยื่อของผิว ส่งผลต่อการยกกระชับได้ดียิ่งขึ้น และให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานขึ้น

การร้อยไหมทองคำ

การร้อยไหมทองคำ นั้นแป็นความเชื่อว่า ทองคำสามารถทำให้ผิวกระจ่างใสได้ แต่การใส่ทองเข้าไป ปัญหาของไหมทองก็คือ เป็นโลหะหนัก และจะไม่สลายไป เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปจะหักออกเป็นท่อนเล็กๆ ตกค้างอยู่ภายในผิว และทำให้ผิวยกกระชับอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน ซึ่งชิ้นส่วนเล็กๆของโลหะทองคำจะยังคงอยู่ในผิว ทำให้ต้องหลีกเลี่ยง ทรีทเม้นต์ที่ให้ความร้อนต่างๆ ไปตลอด เพราะโลหะทองคำจะไวต่อความร้อนมากกว่าปกติ รวมถึงไม่สามารถทำ MRI scan ได้ตลอดไปอีกด้วย อีกทั้งยังอาจมีปัญหาสำหรับผู้ที่แพ้โลหะได้ โลหะหนักถือเป็นสารอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีผลการศึกษาถึงผลกระทบในระยะยาว ดังนั้นก่อนเลือกใช้ไหมทองคำในการร้อยไหม จะต้องพิจารณาศึกษาให้รอบคอบอย่างถี่ถ้วนก่อนการทำ

การร้อยไหมสเต็มเซลล์

ไหมสเต็มเซลล์คือการนำไหม ไปจุ่มในสเต็มเซลล์ ทำให้เป็นเส้นไหมที่มีสเต็มเซลล์เคลือบอยู่ โดยมีการคาดหวังผลว่าจะช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนได้ดียิ่งขึ้น หลักการทำงานคือ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ผิว ร่างกายก็จะสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นในบริเวณนั้น จึงทำให้ผิวยกกระชับขึ้น ตึงขึ้น ดูเปล่งปลั่งขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังในการร้อยไหมสเต็มเซลล์ ก็คือ โอกาสในการติดเชื้อ อาจทำให้เกิดการอักเสบของผิวในบริเวณที่มีการร้อยไหมขึ้นได้

การร้อยไหมฟิกซ์

การร้อยไหมฟิกซ์ เป็นการยกกระชับแบบยึดติดแน่น ได้ผลคงอยู่ยาวนานขึ้น โดยใช้วิธีการร้อยไหมเข้าไปในชั้นเนื้อเยื่อของผิว หลายๆเส้นในแต่ละตำแหน่งที่ต้องการยก แล้วนำไปผูกรวมไว้ที่ใต้ชั้นพังผืดของผิว ข้อดีคือให้ผลคงอยู่ได้นาน และมีข้อเสีย เนื่องจากการที่จะร้อยผิวใต้ชั้นผิวหนังให้รวมกันได้นั้น เป็นการยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์ที่จะออกมาว่ามีประสิทธิภาพเท่ากันได้หรือไม่ เพราะมีโอกาสสูงที่ทำแล้วหน้าไม่เท่ากัน และเนื่องจากเป็นไหมไม่ละลาย จึงไม่สลายไปเอง การแก้ไขจึงยุ่งยาก หรือทำไม่ได้เลย นอกจากนั้นไหมอาจเข้าไปกระทบเส้นประสาทใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เวลาขยับหน้า หรือเคี้ยวอาหารอาจเกิดอาการเจ็บแปล๊บๆ ขึ้นได้  วิธีการร้อยไหมฟิกซ์นี้จำเป็นมากที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชำนาญ และมีประสบการณ์จริงๆ จึงจะทำออกมาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีจริง

การใช้ไหมผูกแขวน

เป็นการใช้ไหมที่ไม่ละลาย คล้องเนื้อเยื่อใต้ผนังแล้วหิ้วแขวนผิวหนังขึ้นผูกไว้ตามจุดที่ต้องการยกหน้า วิธีนี้หากทำอย่างถูกต้องจะมีผลอยู่ยาวนานกว่าวิธีการร้อยไหมที่ใช้ไหมละลาย

การทำหน้า (V-Shape) ด้วยไหม

ในบางคนการร้อยไหมวิธีต่าง ๆ ดังที่กล่าวแล้วข้างต้นก็เพียงพอแล้วในการทำให้หน้าเป็นรูป วีเชฟ  แต่ในบางคนอาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การจัดโบท็อก หรือ จัดสลายไขมัน หรือ กูดไขมันเล็ก เป็นต้น

การร้อยไหมมีทั้ง ข้อดี และ ข้อเสีย ที่ต้องศึกษาให้ดีก่อนการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การร้อยไหมที่น่าพึงพอใจ สำหรับผู้ที่ต้องการร้อยไหม ขอแนะนำให้สำรวจตัวเองก่อนว่า ใบหน้าของเรามีปัญหา ที่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการร้อยไหมจริงๆ หรือไม่ ต้องมีการศึกษาข้อมูล ความน่าเชื่อถือของแพทย์ ความน่าเชื่อถือของสถานที่บริการ และใบประกอบวิชาชีพ ประกาศนียบัตรต่างๆ ที่ได้รับ ซึ่งหากเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีทักษะชำนาญจริงๆ จะเข้าใจปัญหาและจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนแก่คนไข้ เพื่อให้ได้รับทางเลือกที่มั่นใจ และวิธีการรักษาที่ดีที่สุด